เครือข่ายสลัม 4 ภาค แถลงคนไม่มีกินกำลังจะอดตาย-แก้วิกฤติโควิดด้วยสวัสดิการถ้วนหน้า
แถลงการณ์เครือข่ายสลัม 4 ภาค
“คนไม่มีกินกำลังจะอดตาย”
แก้วิกฤติโควิดด้วยสวัสดิการถ้วนหน้า
วันที่ 17 เมษายน 2563 มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย
จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ผนวกรวมกับวิกฤตการณ์ความเหลื่อมล้ำทางสังคมในช่วงก่อนหน้า คนไทยอยู่ใต้เส้นความยากจน (2,710 บ.) 6.7 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.4 ล้านคน หนี้สินครัวเรือน 13.23 ล้านล้านบาท คิดเป็น 79.1% ของจีดีพี เมื่อเกิดวิกฤตการณ์โควิด 19 จึงเป็นสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติอันเผยให้เห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ในขณะที่คนระดับบนสามารถกักตัวรักษาระยะทางสังคมได้อย่างไม่เป็นทุกข์ร้อน แต่คนชั้นล่างซึ่งเป็นคนหาเช้ากินค่ำ แรงงานนอกระบบ 21.21 ล้านคน พนักงานบริการในร้านค้าและตลาด 7.75 ล้านคน แรงงานภาคเกษตร 10.58 ล้านคน แรงงานในระบบประกันสังคม 16.45 ล้านคน ล้วนได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่สูญเสียช่องทางหารายได้ ขาดรายได้จากการหยุดงาน การถูกเลิกจ้าง จากข้อมูลการสำรวจ “คนจนเมืองในภาวะวิกฤตโควิด-19” คนจนในเขตเมืองมีรายได้ลดลงโดยเฉลี่ย 70.84% โดยในจำนวนนี้มีรายได้ลดลงเกือบทั้งหมด 60.24% มีรายได้ลดลงราวครึ่งหนึ่ง 31.21% จนอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “คนไม่มีกินกำลังจะอดตาย”
เครือข่ายสลัม 4 ภาค เห็นว่า มาตรการเยียวยาความเดือดร้อนวิกฤตการณ์ โควิด19 มาตรการเราไม่ทิ้งกันนั้น เป็นเสมือนการลงทะเบียนชิงโชค วาทกรรมคำโฆษณาสวยหรู โดยใช้แนวทาง “การสงเคราะห์” ได้ทอดทิ้งและกีดกันผู้คนจำนวนมาก
เกิดข้อผิดพลาดจากระบบปัญญาประดิษฐ์ โดยขาดการตระหนักว่าฐานข้อมูลไม่ทันสมัยและมีต้นทุนของรัฐในการคัดกรอง ทำให้คนหาเช้ากินค่ำ ฟรีแลนซ์ แม่ค้าพ่อค้า มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ พนักงานบริการ เกษตรกร คนพิการ เข้าไม่ถึงสิทธิการช่วยเหลือ ดังนั้นแล้ว รัฐจึงต้องปรับเปลี่ยนมาใช้แนวทาง “สวัสดิการถ้วนหน้า” เพื่อช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ที่เดือดร้อนอย่างรวดเร็ว ดังเช่นหลายประเทศได้ดำเนินการในแนวทางนี้ อาทิ สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น
จากวิกฤติการณ์ COVID-19 เครือข่ายสลัม 4 ภาค มีข้อเสนอดังต่อไปนี้
1) มาตรการเยียวยาความเดือดร้อนพื้นฐาน 5,000 บาท ให้ใช้ระบบถ้วนหน้า สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป เพื่อให้มาตรการครอบคลุมคนทุกกลุ่ม สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนได้อย่างถ้วนหน้าทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร แรงงานนอกระบบ แรงงานในระบบ ตลอดจนถึงนักเรียนนักศึกษา จำนวนประมาณ 50 ล้านคน ซึ่งจะใช้เงินราว 250,000 ล้านบาท หรือการใช้มาตรการจ่ายเงินรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า โดยใช้เส้นความยากจน ประมาณ 3,000 บาท เป็นเวลา 2 เดือน ใช้งบประมาณ 300,000 ล้านบาท เป็นเงินกึ่งหนึ่งของงบประมาณที่ตั้งไว้ 600,000 ล้านบาท ทั้งนี้ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยและมีสวัสดิการรองรับ เช่น ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจชั้นสูง ส.ส. ส.ว. ให้งดรับสิทธิ์นี้ได้ ส่วนผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้แก่ นักเรียนควรสนับสนุนค่าอุปกรณ์การศึกษาจากงบประมาณรายหัว เพื่อใช้ในการเรียนที่บ้านในช่วงการเลื่อนเปิดเทอม กรณีนิสิตนักศึกษาควรลดค่าหน่วยกิตการศึกษา ค่าหอพักมหาวิทยาลัย
2) ลดค่าบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน 50% อย่างน้อย 3 เดือน ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าเช่าบ้าน ค่าทางด่วน ค่าโดยสาร ค่าโทรศัพท์ รวมทั้งการงดภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับสินค้าจำเป็นพื้นฐาน อย่างน้อย 6 เดือน ส่วนกรณีชุมชนที่ใช้มิเตอร์รวมให้แจ้งที่สำนักงานไฟฟ้า หรือสำนักงานประปาในพื้นที่ เพื่อขอรับส่วนลดดังกล่าง
3) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้สถาบันการเงินงดชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอย่างแท้จริง อย่างน้อย 3 เดือน ยุติการคำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อและที่อยู่อาศัย 12 เดือน ลดดอกเบี้ยหนี้สินเกษตรกร หนี้การศึกษา กยศ. หนี้สินเชื่อผู้ประกอบการ SME
4) ผ่อนปรนให้มีการเปิดพื้นที่ค้าขายหรือเปิดตลาด จะทำให้คนเดือดร้อนสามารถประกอบอาชีพและมีความปลอดภัย โดยเข้มงวดในการจัดการจัดพื้นที่ระยะห่างเพื่อดูแลสถานการณ์การแพร่ระบาด เช่น การสวมหน้ากากอนามัย มีเจลหรือแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างทั่วถึง ฯลฯ ทั้งนี้ รัฐควรออกมาตรการสนับสนุนในการเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชุมชนด้วย
5) .ให้รัฐบาลออกประกาศห้ามเจ้าของที่ดิน หน่วยงานรัฐ ไล่รื้อประชาชนออกจากที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย กรณีที่ดินหน่วยงานรัฐขอให้ยุติการเก็บค่าเช่าที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ยุติการดำเนินคดีที่ดินและที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ เคยเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นแล้ว จากกรณีที่การรถไฟแห่งประเทศไทยปิดประกาศไล่รื้อชุมชนแออัดริมทางรถไฟ ใน จ.ตรัง เมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา ทั้งที่อยู่ในระหว่างการเจรจาและมีข้อตกลงร่วมกับรัฐบาล
6) การออกมาตรการดูแลและเยียวยางบประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท ในส่วน พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อเยียวยาดูแลเศรษฐกิจ 1 ล้านล้านบาท มีงบประมาณสำหรับฟื้นฟูและเยียวยา 400,000 ล้านบาท ภาคประชาชนควรมีส่วนร่วม เพื่อให้การดำเนินงานโปร่งใส ตรวจสอบได้ เครือข่ายสลัม 4 ภาค เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 โดยใช้กลไกผ่านทางสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเป็นกลไกที่มีส่วนร่วมจากภาคประชาชนทั้งคนจนเมือง และคนจนชนบท และมีหลักประกันการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้รับความเดือดร้อนได้โดยตรง
7) รัฐควรพัฒนาระบบสวัสดิการสังคมให้เป็นระบบถ้วนหน้า เพียงพอต่อการดำรงชีพโดยใช้เกณฑ์เส้นความยากจน เพื่อแก้ไขปัญหาครัวเรือนประสบภาวะฝืดเคือง การเพิ่มเงินในส่วนนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระของครัวเรือนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่ (1) เงินสนับสนุนเด็กเล็ก 0-6 ปี 3.53 ล้านคน จำนวน 600 บาท (2) เบี้ยคนพิการ 2.02 ล้านคน จำนวน 800 บาท (3) เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 11.13 ล้านคน จำนวน 600-1000 บาท (4) สร้างระบบประกันสังคมถ้วนหน้า โดยจูงใจแรงงานนอกระบบเข้ามาเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 โดยจ่ายสมทบให้เป็นเวลา 3 เดือน
เครือข่ายสลัม 4 ภาค เชื่อว่า การดำเนินนโยบายตามแนวทาง “สวัสดิการถ้วนหน้า” จะเป็นมาตรการที่ยั่งยืนในการสร้างหลักประกันให้ประชาชนผ่านพ้นวิกฤตนี้ และเอื้อให้ประชาชนทุกชนชั้นที่มีความสามารถและความสร้างสรรค์ มีโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเอง เครือข่ายสลัม 4 ภาค จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนมาร่วมกันสู้เพื่อผ่านวิกฤติ COVID-19 ในครั้งนี้ ทั้งนี้ เครือข่ายสลัม 4 ภาค และมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ขอขอบพระคุณทุกท่านทั้งบุคคล และองค์กร ที่มีส่วนร่วมในการบริจาคทั้งเงินและสิ่งของ ให้กับผู้ได้รับผลกระทบในชุมชนแออัด และคนไร้บ้าน
ประชาชนไม่ทิ้งกัน แต่รัฐบาลทิ้งเรา