119องค์กรเสนอประยุทธ์ เพิ่มเงินอุดหนุนเด็กเล็ก2000บาทถ้วนหน้าฝ่าCOVID-19

119 องค์กรเสนอประยุทธ์เพิ่มเงินอุดหนุนเด็กเล็ก 2,000 บาทถ้วนหน้าฝ่า COVID-19

พุธที่ 22 เมษายน 2563 คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า 119 องค์กรได้ร่วมกันจัด “งานแถลงข่าวจดหมายเปิดผนึกถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ข้อเสนอ ปกป้องดูแลเด็กเล็กในสถานการณ์วิกฤติโควิด​-19 ด้วยนโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า” ณ มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ คลองเตย

คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า 119 องค์กรได้เสนอพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาให้เพิ่มเงินอุดหนุนเด็กเล็กช่วงอายุแรกเกิดถึง 6 ขวบจากเดิม 600 บาทให้เพิ่มเป็น 2000 บาท  นอกจากนี้คณะทำงานฯ119องค์กรได้เสนอให้จ่ายเงินอุดหนุนแบบถ้วนหน้าไม่มีกระบวนการพิสูจน์ความยากจน  จากเดิมที่จำกัดการให้เงินอุดหนุนเฉพาะเด็กที่อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000บาท/ปี พบว่ามีอัตราการตกหล่นของกลุ่มเป้าหมาย 30% เด็กเล็กในครอบครัวที่ยากจนกว่า 30%ที่ยังคงไม่ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรการ 54 วรรคสอง“รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา…เพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ  อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย”  ดังนั้นระบบสวัสดิการถ้วนหน้านอกจากจะแก้ปัญหาช่องว่างเรื่องเด็กตกหล่นแล้ว ยังสามารถทำให้สวัสดิการไปถึงเด็กได้ทันที  พอเพียง ครอบคลุม ช่วยให้มีฐานข้อมูลเด็กทุกคนในระยะยาว ลดการทำงานคัดกรองของภาครัฐที่เป็นภาระทั้งงบประมาณ กำลังคน  เกิดระบบประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน

 

รูปบรรยากาศหลังสิ้นสุดงานแถลงข่าว

 

จดหมายเปิดผนึกถึง

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ข้อเสนอ ปกป้องดูแลเด็กเล็กในสถานการณ์วิกฤติโควิด-๑๙ ด้วยนโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า

 

ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒เห็นชอบโครงการเงินอุดหนุน เพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด อายุ ๐-๖ ปี  เดือนละ ๖๐๐บาท แก่เด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจนหรือเสี่ยง ต่อความยากจน โดยมีการลงทะเบียนและมีการคัดกรอง รายได้เฉลี่ยของครอบครัวไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐  บาทต่อปี  แม้จะมีข้อดีกว่าเดิมจากที่จำกัดรายได้เฉลี่ยครอบครัวไม่เกิน ๓๖,๐๐๐ บาทต่อปี แต่องค์กรภาคประชาสังคมด้านเด็ก ผู้หญิง  ขบวนแรงงานทั้งในและนอกระบบ และสถาบันวิชาการ  ได้มีข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา  ยืนยันข้อเสนอที่มีมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี ๒๕๕๘  “ขอให้รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า อย่างน้อย ๐-๖ ปีเดือนละ ๖๐๐ บาท

 

เหตุผลที่ชัดเจนในการสนับสนุนนโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า  คือ

  • มีผลการวิจัยทั่วโลกยอมรับว่า เด็กเล็ก ๐-๖ ปีเป็นช่วงวัยที่เป็นการลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่คุ้มค่าที่สุด สำคัญที่สุดในช่วงชีวิตการสร้างคุณภาพชีวิตและ ศักยภาพมนุษย์ที่แข็งแกร่งในอนาคต เป็นการสร้างต้นทุนต่อความฉลาดทางสติปัญญา IQ  และความฉลาดทางอารมณ์/จิตใจ EQ  ซึ่งจะส่งผลต่อเด็กในวัยเรียน การประกอบอาชีพในอนาคต และการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาว
  • ผลการศึกษาวิจัย เรื่องประเมินผลกระทบและประเมินการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติประเทศไทย (UNICEF) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) มอบให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสถาบันวิจัยนโยบายทางเศรษฐกิจ (Economic and Policy Research Institute : EPRI) จากประเทศแอฟริกาใต้ออกแบบและดำเนินการโดยมีมหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดเก็บข้อมูลภาคสนาม ผลการศึกษาสรุปว่า การให้เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิด เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เด็กแรกเกิดที่ได้รับเงินรวมทั้งเด็กเล็กอื่นในครัวเรือนมีผลลัพธ์ทางโภชนาการดีกว่าเด็กที่มาจาก ครัวเรือนซึ่งไม่ได้รับเงินที่มีฐานะใกล้เคียงกัน  ครัวเรือนที่ได้รับเงินมีการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวเป็นเวลา ๖ เดือน ครอบครัวที่ได้รับเงินเข้าถึงการบริการสุขภาพและสังคมมากกว่า ฯลฯ
  • ประเด็นที่สำคัญ ในงานวิจัยพบว่า มีอัตราการตกหล่นของกลุ่มเป้าหมายยากจน ร้อยละ ๓๐ นั่น คือ เด็กแรกเกิดยากจนประมาณร้อยละ ๓๐ ยังไม่ได้รับเงิน ซึ่งทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลคิดว่าจะดูแลเด็กเล็กที่ยากจนและส่งผลให้เด็กเล็กจำนวนมากไม่ได้รับการปกป้องดูแล  ซึ่งจากการศึกษาทั่วโลกพบว่า การจะแก้ไขลดอัตราการตกหล่นของคนจนเป็นเรื่องยาก หากไม่ทำให้เป็นนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า
  • สังคมไทยพัฒนาการจัดสวัสดิการแบบถ้วนหน้ามายาวนาน โดยเฉพาะการเรียนฟรีอย่างน้อย ๑๒ ปี สวัสดิการคนพิการ  สวัสดิการผู้สูงอายุ  สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล แต่กลับมีนโยบายและการเลือกปฏิบัติเจาะจงเด็กยากจนด้วยระบบคัดกรองที่มีเด็กยากจนตกหล่นและเข้าไม่ถึงจำนวนมาก

สถานการณ์โควิด- ๑๙ ยิ่งจำเป็นต้องมีนโยบายเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า

สถานการณ์โควิด-๑๙ ส่งผลกระทบด้านสุขภาพ และด้านเศรษฐกิจสังคมต่อทุกคนหลากหลายอาชีพทั้งในเมืองและชนบทเป็นวงกว้าง รวมทั้งมีผลกระทบที่รุนแรงครอบครัวของเด็กเล็กและเด็กเกิดใหม่ เช่นการมีรายได้ลดลงอย่างมาก ผู้ปกครองไม่สามารถทำงานแบบปกติได้. ขณะที่รายจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก ศูนย์เลี้ยงเด็กและโรงเรียนก็ปิด. ค่าใช้จ่ายเด็กเล็กในบ้านเพิ่มขึ้น และมีผลให้ไปทำงานไม่ได้. หรือต้องหาคนมาช่วยเลี้ยงดู นอกจากนี้อัตราการตกหล่นครอบครัวยากจนตามเกณฑ์เดิมก็อาจสูงขึ้นจากปัญหาและอุปสรรคในการลงทะเบียนเด็กเล็กรายใหม่ เนื่องจากมีขั้นตอนที่ต้องมีผู้รับรองรายได้ ต้องกรอกแบบฟอร์ม ต้องตรวจสอบ ซึ่งทำได้ยากขึ้นในสถานการณ์ที่ต้องมีการเว้นระยะห่างทางสังคมเช่นปัจจุบัน ผลกระทบอีกประการหนึ่งคือการเกิดคนจนใหม่จำนวนมากกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนด ครอบครัวที่เคยมีรายได้สูงกว่าเกณฑ์ในภาวะปกติและไม่ได้รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด แต่ผลกระทบจากโควิด-๑๙ ได้ทำให้ครอบครัวเหล่านี้จำนวนมากกลายเป็นครอบครัวยากจน ในขณะที่ยังคงไม่ได้รับความช่วยเหลือในส่วนนี้

การให้ความช่วยเหลือเด็กเล็ก ๐-๖ ปี ให้เป็นแบบถ้วนหน้า จะทำให้ความช่วยเหลือไปถึงเด็กเล็กอย่างทันที เพียงพอ และครอบคลุม. ลดความจำเป็นด้านเอกสารและการตรวจสอบ แม้งบประมาณที่ใช้จะสูงกว่าการให้เงินอุดหนุนแบบเฉพาะเจาะจงแต่ถือว่าเป็นการลงทุนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับการลงทุนด้านอื่น ๆ ของประเทศ  และอัตราเด็กเกิดที่มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ การใช้งบประมาณในอนาคตก็มีแนวโน้มที่ลดลง ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ควรเห็นเป็นภาระ  หากแต่เป็นการใช้งบประมาณลงทุนที่คุ้มค่า

“การให้สวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กอายุ ๐-๖ ปี แบบถ้วนหน้า” จึงเป็นสวัสดิการพื้นฐานเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเด็กทุกคน โดยไม่ต้องแบ่งแยก “ยากดี-มีจน” แต่ให้เด็กเล็กทุกคนได้รับการดูแลจากรัฐอย่างเสมอภาคเท่าเทียม สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ในมาตรา ๕๔ วรรคสองระบุไว้ว่า “รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา…เพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ  อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย” และมาตรา ๔๘ “สิทธิของมารดาในช่วงระหว่าง ก่อน และหลังคลอดบุตรย่อมได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือตามที่กฎหมายบัญญัติ” ทั้งยังยืนยันว่า ประเทศไทยเคารพต่อข้อผูกพันที่มีต่อกติการะหว่างประเทศที่เป็นภาคี อาทิ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ระบุว่า เด็กทุกคนมีสิทธิเข้าถึงระบบความคุ้มครองทางสังคมที่เหมาะสม รวมทั้งพันธะสัญญาสากลขององค์การสหประชาชาติ เช่น การพัฒนาที่ยั่งยืน(SDGs) ที่มีนัยสำคัญถึง “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กสู่ถ้วนหน้าและองค์กรเครือข่าย ตามรายชื่อในท้ายจดหมายนี้ ขอให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้พิจารณาเห็นชอบต่อการที่ประเทศไทยจะมีนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วหน้า. เพื่อเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานตลอดจนป้องกันที่จะไม่ทิ้งเด็กให้ตกหล่นอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

และในวาระเฉพาะหน้า เสนอเพิ่มเงินอุดหนุนจาก ๖๐๐ บาทต่อเดือน เป็น ๒,๐๐๐บาทต่อเดือน[1] จนกว่าการระบาดจะบรรเทาลงเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว  ถ้าให้เงินเด็ก ๐-๖ ปี แบบถ้วนหน้าจากเด็ก ๓.๕๓๘ ล้านคนรายละ ๒,๐๐๐ บาท ๑๒  เดือน ใช้งบประมาณ ๘๔,๙๒๔.๘๘  ล้านบาท คิดเป็น ๐.๕% ของ GDPเท่านั้น

แนวทางนี้นอกจากจะแก้ปัญหาช่องว่างเรื่องเด็กตกหล่นแล้ว ยังสามารถทำให้สวัสดิการไปถึงเด็กได้ทันที  พอเพียง ครอบคลุม ช่วยให้มีฐานข้อมูลเด็กทุกคนในระยะยาว ลดการทำงานคัดกรองของภาครัฐที่เป็นภาระทั้งงบประมาณ กำลังคน  เกิดระบบประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน

 

คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า ๑๑๙ องค์กร

๒๒ เมษายน ๒๕๖๓

 

 

รายชื่อคณะทำงานและองค์กรเครือข่ายร่วมสนับสนุนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า

 

  • วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
  • คณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ฯ
  • มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.)
  • คณะกรรมการประสานงานองค์กรเอกชน(กป.อพช.)
  • มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ
  • มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม
  • สหทัยมูลนิธิ
  • มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว
  • ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย(WeMove)
  • มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ(HomeNet)
  • เครือข่ายสลัม ๔ ภาค
  • เครือข่ายพลังผู้สูงวัย
  • สมาคมส่งเสริมสิทธิชุมชนเพื่อการพัฒนา
  • คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.)
  • กลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี
  • สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์(สรส.)
  • ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ
  • สมาคมสตรีคนพิการ
  • มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ เชียงใหม่
  • มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน
  • สมาคมฟ้าใสส่งเสริมสุขภาวะเด็กและเยาวชนชายแดนใต้
  • สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา
  • สถาบันธรรมชาติพัฒนา
  • สถาบันวิจัยนิเวศน์วัฒนธรรมท้องถิ่น
  • มูลนิธิเพื่อสุขภาพชุมชน จังหวัดสุรินทร์
  • มูลนิธิคุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
  • มูลนิธิพิทักษ์สิทธิสตรีและเด็ก
  • มูลนิธิเพื่อนหญิง
  • มูลนิธิผู้หญิง
  • มูลนิธิขวัญชุมชน
  • มูลนิธิส่งเสริมทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาชุมชน
  • มูลนิธิพร้อมใจพัฒนา
  • มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
  • มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • มูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ
  • มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน
  • มูลนิธิก้าวหน้า
  • สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย
  • สมาคมผู้บริโภคจังหวัดขอนแก่น
  • สมาคมครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว
  • สมาคมจิตอาสาสร้างสุข
  • สมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย
  • สมาคมเครือข่ายแรงงานนอกระบบ ประเทศไทย
  • สมาคมวัฒนธรรมความพิการเชียงใหม่
  • สมาคมส่งเสริมศักยภาพสตรีพิการ
  • สมาคมผู้บริโภคจังหวัดสุรินทร์
  • สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
  • สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.กสท.โทรคมนาคม
  • สหภาพแรงงานอาหารและบริการประเทศไทย
  • สหภาพผู้ปรุงอาหารและให้บริการ
  • สมาพันธ์แรงงานนอกระบบ ประเทศไทย
  • สมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย
  • สมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคทรอนิค ยานยนต์และโลหะแห่งประเทศไทย
  • สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การเภสัชกรรม
  • สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย
  • สมาพันธ์แรงงานเดนโซ่ ประเทศไทย
  • สมาพันธ์แรงงานอีซูซุ ประเทศไทย
  • เครือข่ายผู้ติดเชื้อจังหวัดขอนแก่น
  • เครือข่ายผู้สูงอายุ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
  • เครือข่ายคนพิการ จังหวัดขอนแก่น
  • เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกจังหวัดขอนแก่น
  • เครือข่ายผู้ป่วยโรคไต จังหวัดขอนแก่น
  • เครือข่ายแรงงานนอกระบบภาคอีสาน
  • เครือข่ายผู้หญิงอีสาน
  • เครือข่ายชุมชนชนเมือง จังหวัดขอนแก่น
  • เครือข่ายสภาองค์กรชุมชน จังหวัดขอนแก่น
  • เครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์
  • เครือข่ายผู้บริโภคภาคอีสาน
  • เครือข่ายวิทยุชุมชนภาคอีสาน
  • เครือข่ายเด็กและเยาวชนต้นกล้าชนเผ่าพื้นเมือง
  • เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย
  • เครือข่ายแรงงาน สตรี TEAM
  • เครือข่ายผู้หญิงในระบบหลักประกันสุขภาพมาตรฐานเดียว
  • เครือข่ายแรงงานนอกระบบ กรุงเทพมหานคร (กทม.)
  • เครือข่ายองค์กรสตรี ๑๔ จังหวัดภาคใต้
  • เครือข่ายภาคประชาชนชายแดนใต้เพื่อสันติภาพ
  • เครือข่ายสวัสดิการชุมชน จังหวัดอำนาจเจริญ
  • เครือข่ายผู้หญิงเพื่อสุขภาพประเทศไทย ๑๓ องค์กร
  • เครือข่ายเยาวชนและครอบครัวสร้างสรรค์
  • เครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.)
  • เครือข่ายศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนจังหวัดสุรินทร์
  • เครือข่ายแม่วัยใส อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
  • เครือข่ายสนับสนุนทางเลือกของผู้หญิงที่ท้องไม่พร้อม
  • กลุ่มรักษ์เขาชะเมา จังหวัดระยอง
  • กลุ่มการเมืองหลังบ้าน
  • กลุ่มฅนวัยใส จังหวัดเชียงใหม่
  • กลุ่มบำเพ็ญประโยชน์องค์กรเภสัชกรรม
  • กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ
  • กลุ่มสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนต้นหญ้าบ้านดู่จังหวัดสุรินทร์
  • กลุ่มรุ่งอรุณ จังหวัดลำปาง
  • ขบวนองค์กรชุมชน จังหวัดเชียงใหม่
  • คริสตจักรพลังแห่งความเชื่อจังหวัดสุรินทร์
  • โครงการปฏิรูปการเกษตรและพัฒนาชนบทจังหวัดลำพูน
  • โครงการเพื่อผู้สูงอายุ – forOldy
  • ชมรมผู้ติดเชื้อเพื่อนรักเขาสมิง
  • ศูนย์ประสานงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ๔ ภูมิภาค
  • ศูนย์ประสานงานเครือข่ายการช่วยเหลือเด็กกำพร้า จังหวัดปัตตานี
  • หน่วยรับเรื่องราวร้องเรียนที่เป็นอิสระ50(5) จังหวัดสุรินทร์
  • Rainbow Dream Group เชียงใหม่
  • สมัชชาคนจน
  • สถานรับเลี้ยงเด็กพระคุณ จังหวัดสุรินทร์
  • สโมสรนักศึกษานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
  • องค์กรคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค
  • เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน
  • เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม WeFair
  • มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
  • กลุ่มอนุรักษ์ผายาผาจันได จังหวัดหนองบัวลำภู
  • มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย
  • มูลนิธิเพื่อนหญิง
  • มูลนิธิร่วมมิตรไทย-พม่า
  • สมาคมพราว(มหาชัย)
  • เครือข่ายเพื่อนหญิงนนทบุรี
  • มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง(สคส.)
  • เครือข่ายเด็กและเยาวชนจังหวัดมหาสารคาม
  • มูลนิธิไทอาทร
  • มูลนิธิพัฒนาเครือข่ายเอดส์
  • องค์กรต้นกล้า(เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก เยาวชนและครอบครัว) จังหวัดมุกดาหาร

 

ผู้ประสานงาน

  • สุนี ไชยรส วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต   โทร.๐๘๑  ๘๓๗๒๕๗๘
  • ศีลดา รังสิกรรพุม   มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ               โทร ๐๘๙ ๘๙๐๐๒๗๘
  • เชษฐา มั่นคง มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก             โทร.๐๘๕ ๓๒๖๒๙๘๐

๒๒ เมษายน ๒๕๖๓

[1] จำนวนเงิน ๒,๐๐๐ บาทคำนวณจาก ๓๐% ของค่าจ้างแรงงานนอกระบบเฉลี่ยและการศึกษา minimum income standard โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่ารายจ่ายสำหรับเลี้ยงดูเด็กเล็กคือ ๓,๑๘๒  บาทต่อเดือน และถ้าพ่อแม่ต้องไปทำงาน จะมีค่าใช้จ่ายฝากเลี้ยงอีกเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท รวมเป็น  ๖,๑๘๒  บาท

Similar Posts

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *